วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

มื้อเที่ยง 7 เซียน

        การกินข้าวกับเพื่อนมันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ดีมาก ลองเปลี่ยนบรรยากาศและสถานที่ดูบ้าง ถ้าเบื่อข้าวที่โรงเรียนก็เอาไปกินดูบ้าง มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ดีมากจริง ๆ
        เวลาที่ต้องไปเรียนแล้วกินข้าวที่โรงเรียนทุกวัน ๆ มันก็ต้องมีเบื่อกันมาวันนี้จึงอยากจะมาแนะนำเมนูเด็ดที่เคยเอาไปกินที่โรงเรียน 



ไข่พะโล้
        คือมันอาจเป็นอาหารที่ใครก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่ไม่ใช่ ไข่พะโล้สำหรับ 7 เซียนเป็นอะไรที่เอามากันปล่อยมาโดยเฉพาะเซียนจู เธอชอบกินเธอก็ซื้อมาและอยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนได้กินด้วย ดดยที่ไม่ถามเพื่อน ๆ เลยว่าอยากกินไหม แต่ไข่พะโล้ที่เธอซื้อมารสชาติก็ใช่ได้






ปลาทูชุบไข่...
        ครั้งแรกที่เห็นก็งง ๆ เหมือนกันว่า อะไรอ่ะปลาทูชุบไข่ ทำไม่ต้องเอาไปชุบไข่ด้วยอ่ะ เป็นเมนูประจำตัวอิ๋วคนสอง เธอชอบเอามา แต่มีอีอย่างหนึ่งที่เด็ดกว่าปลาทูชุบไข่คือผัด"หญ้า" ผัดหญ้าจริง ๆ แต่เป็นผัหย้าที่อยู่ในผัดผักบุ้ง 
วันหนึ่งในระหว่างที่เรากำลังกินข้าวกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น
"อิ๋ว...นี่อะไรอ่ะ" ใครสักคนหนึ่งตักผักบุ้งที่มีลักษณะแปลก ๆ ขึ้นมาดู
"๕๕๕๕๕๕๕" อิ๋วหัวเราะ และตีเพื่อนหนึ่งที
"นี่มันหญ้านิ...อิ๋ว"
"เค้าขอโทษ เค้าเก็บผักมาจากข้างบ้าน มันคงมีหย้าติดมาด้วย"
สรุปวันนั้นก็กลายเป็นว่าพวกเราได้รับรู้ถึงรสชาติของหญ้ากันไป เอ๊ะ...หรือว่าจริง ๆ แล้วอิ๋วต้องการแก้แค้นที่พวกเราชอบแกล้ววันนั้นก้เลยเอาหญ้ามาให้กิน....








หอมผัดไข่
        เมนูเด็ดสูตรเจ๊จู(อี๊ของเซียนโหย่ว)ที่ทุกคนต่างก้ชอบ และมีการเรียกร้องกันหลายครั้ง


แกงส้มชะอม
       ถ้าพูดถึงแกงส้มชะอมแน่นอนว่าต้องคิดถึงมาม๊าของเซียนตือ น้ำข้นถึงเครื่อง เผ็ดกำลังดี บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด

        แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะผ่านมาสักพักแล้ว แต่มันก้อดที่จะคิดถึงไม่ได้ อยากกลับไปช่วงเวลาเก่า ๆ มันเป็นอะไรที่มีคุณค่าและน่าจดจำมากจริง ๆ 

AB...

        หลายคนมองว่าพวก AB นั้นประหลาด ติงต๊อง ปัญญาอ่อน เจ้าอารมณ์ พูดมาก ขี้หงุดหงิด เห็นแก่ตัว
นิสัยไม่ดี ฯลฯ แต่คุณเคยรู้บ้างไหมว่าความจริงแล้วพวกเราเป็นอย่างไร มนุษย์เรามักมองคนจากภายนอก เวลาเห็นเขาทำอะไรไม่ดีก็ว่า...คุณเคยมองให้ลึกไหมว่าจริงๆแล้วที่เขาทำอย่างนั้นเพราะอะไร ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมันเสมอ การกระทำของพวกเราชาว  AB ก็เช่นกัน
     

        AB เป็นกรุ๊ปที่รู้จักตัวเองมากที่สุดว่าเรานั้นมีข้อดีอะไร ส่วนข้อเสียถ้าเราพอใจก็ไม่เห็นต้องแก้เลย


AB มักจะทำความเข้าใจคนอื่นแม้กระทั้งคนที่ไม่รู้จักและไม่ชอบ แต่คนอื่นกลับไม่คิดที่จะความเข้าใจกับ พวกเรา ชอบหาว่า AB แปลก...(ตล๊กตลก)


AB ไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยาก แต่ชอบที่จะแกล้งไม่เข้าใจด้วยสาเหตุที่อยากกวน แต่อีกอย่างก็คืออยากให้สนใจนั้นเอง


อย่าพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจ AB เป็นอันขาดแม้ว่าพวกคุณจะไม่ได้คิดอะไร และแม้ว่าเราแสดงออกว่าไม่ได้รู้สึก แต่จริงๆคิดมาก


AB เป็นพวกกระจายความลับ เวลาจะเล่าให้ใครฟังก็จะคิดดีมากว่าเรื่องนี้ควรบอกใคร


เวลา AB พูดตรงๆมีสามอย่าง1พูดตามความจริงไม่มีเจตนาแฝง(โดยไม่รู้ตัวว่าพูดแรง)2พูดเพราะเป็นห่วงหวังดีจริงๆ3พูดแดกดันหวังให้สำนึก


เวลาคนด่าหรือพูดถากถางแล้วเราไม่ตอกกลับ นั้นไม่ได้แปลว่า AB ไม่โกรธ แค่โกรธมากเพราะถ้าไม่อยู่นิ่งๆ เราอาจทำลายทุกอย่างได้


AB มีนิสัย "ที่นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป" ดังนั้นอย่าแปลกใจที่แอดมินหายไปเฉยๆ




ซูม ซูม


        เย็นวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ สาวน้อยร่างอวบ(จนเพื่อนขนานนาม she ว่าหญิงแหนม) เธอกลับบ้านตาม
          ปกติพร้อมเพื่อนอีกสองคน แต่ด้วยเหตุจำเป็นทำให้เธอต้องซื้อบัตรเติมเงินยื่อห้อหนึ่ง เธอบอกให้เพื่อที่ชื่อแอมรอ แล้วเธอก็แวะตามร้านปกติทั่วไป หรือเรียกอีกอย่างว่าร้านขายของชำนั้นแหละ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยความปกติ เธอเอามันใส่กระเป๋าสตางค์ แต่ในระหว่างที่เธอเดินไปหาพี่แอมนั้นเธอหยิบมันขึ้นมาและหวังว่าจะเติมเงิน แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บัตรเติมเงินนั้นใช้แล้ว เธอหัวเสียบอกพี่แอมให้รอ เธอรีบกลับไปที่ร้านเจ้าปัญหานั้นอีกครั้ง

"พี่ค่ะบัตรนี้มันใช้แล้วนะค่ะพี่เอามาขายหนูได้ยังไง"

"น้องค่ะ พี่แน่ใจนะค่ะว่าบัตรที่พี่ขายนั้นยังไม่ได้ใช้" แล้วหญิงแหนมก็หันไปเห็นกล้องวงจรปิด(ที่ไม่รู้ว่าเปิดอยู่รึเปล่า)

"พี่ค่ะซูมเลยค่ะ ซูมซูม แล้วจะรู้ว่าหนูไม่ได้โกหก" ในระหว่างที่แหนมกำลังบอกให้พี่เขาซูมๆอยู่นั้น แอมที่รอไม่ไหวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่

         ยินร้ายยินดี เมื่อเธอได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนไม่ได้ เธอจึงเป็นคนที่จบเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยคำพูดที่ว่า
"เงินแค่ ร้อยเดียวถ้ามันอยากได้จากเด็กก็ให้มันเอาไป"
............. (พี่แอมสุดยอด)

หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน และคืนนั้นเองแหนมก็โทรฯมาหาแอมและพูดว่า
"แอมเข้าเจอบัตรเติมเงินแล้ว""................" และแหนมก็เจอแอมจัดหนัก
แหนมบอกว่าจะไปขอโทษพี่เจ้าขอร้านแต่ปัจจุบันเหตุการณ์แหนมก็ยังไม่ได้ไปขอโทษ(สงสัยคงรอให้ลูกบวชก่อนแล้วค่อยไป)
เรื่องนี้จึงเป็นที่มาขอคำว่าซูมๆ
หมายเหตุเรื่องราวทั้งหมดอาจมีบางส่วนที่ไม่ถูกหรือบิดเบื่อนไปบ้างก็ขอโทษนะ
ป.ล. ถ้าเจ๊เจ้าขอร้านนั้นได้อ่านก็จงรู้ไว้นะค่ะว่าเพื่อนหนูเค้าอยากขอโทษและก็รู็สึกผิดมากมาย

7 เซียน

....นานแค่ไหนแล้วนะที่พวกเรากลายเป็น  7 เซียน ช่วงเวลาเก่า ๆ ที่นึกเท่าไรก็ยิ่งทำให้คิดถึง ตอนนี้ทุกคนต่างก็อยู่ในช่วงที่ค้นหาและตามความฝันของตนเองทำให้ เรามีโอกาสเจอกันน้อยลง อาจจะบวกกับเวลาที่ไม่ตรงกัน ทั้งยังยุ่งกับเรื่องส่วนตัวที่ต้องทำ เราเจอกันครบเจ็ดคนเมื่อไร....นานมากเลยนะ เวลาที่เรานัดเจอกันมากสุดก็มาได้เต็มที่ห้าคน สุดท้ายก็ต้องมีคนที่ติดธุระไม่สามารถมาได้ เมื่อไรเราจะมีโอกาสได้เจอกันทั้งเจ็ดคน นั่งคุย ด่า กินข้าว  ปรึกษาปัญหาซึ่งกันและกัน  พูดถึงเรื่องเก่า ๆ


กว่าจะมาเป็นเจ็ดเซียนไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย แต่ละคนมีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือความชั่ว

       หลังจากเรียนจบพวกเราไม่เคยมีดอกาสได้เจอกันครบเจ็ดคนเลยอย่างมากก็หกคนเพราะว่าเราเรียนกันคนละที่คนละเวลา

     พวกเรายังคอยเป็นห่วงเป็นใยกันเสมอ ใครมีปัญหาก็ปรึกษาซึ่งกันและกันแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันแต่ความรู้สึกที่เคยมีให้กันไม่เคยเปลี่ยนแปลงมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย


        สมัยเรียนพวกเราชอบถ่ายรูป ไม่สิต้องเรียกว่าชอบอยู่ในรูปมากกว่าทุกคนไม่มีใครถือกล้องเพราะรู้ว่าจะไม่ได้อยู่ในรูป เพื่อน ๆ ทุกคนจะกล้วพวกเราว่า เอาแล้ว...ถ้าเมื่อไรถือกล้องถ่ายรูปให้พวกเราละก็มันจะต้องสร้างเป็นหนังได้แน่ๆ เลยเพราะพวกเราถ่ายรูปเยอะกันจริง ๆ


พวกเราจะเปลี่ยนการถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ และก็จะอารมณ์เสียเวลามีคนอื่นมาขี้ลอกเรา เบื่อจริง ๆ

   ตอนที่พวกเราเริ่มเป็นเจ็ดเซียนใหม่ ๆ  เราพยายามบอกหลายๆคนให้รู้แต่ไม่มีใครสนใจพวกเราเลย ในห้องไม่มีใครรู้ด้วยมั้งว่าเราตั้งชื่อกลุ่มว่าเจ็ดเซียน


       พวกเราเบื่อข้าวโรงอาหาร เราเอาข้าวมากินที่โรงเรียนและจะไปกินที่ห้องประชาสัมพันธ์ เวลาอาจารย์จะฝากอะไรไปให้เพื่อนในห้องก็จะผ่านพวกเรา และพวกเราก็มักจะจัดการกันเองโดยเฉพาะขนม(ขนมหมีเพื่อน ๆ คงจำกันได้) เรากินกันเองจนหมดโดยไม่เอาไปให้เพื่อน ๆ ในห้อง

วันภาษาไทยกับเรื่องแก้วหน้าม้า
 เวลากินข้าวพวกเราจะปุเสื่อ ที่มันค่อนข้างจะน่ากลัว มันมีราขึ้นด้วย อาจเป็นเพราะเวลากินอาจมีพวกโน้นนี้หยดลงไป แต่พวกเราก็ยังนั่งมันจนวันสุดท้าย
ภาพวันที่เรากลายเป็นเจ็ดเซียน
ในทุกๆวันของมื้ออาหารเที่ยงอิ๋วต้องเก็บเสื่อ ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนต้องยัดเยียดหน้าที่นี่ให้อิ๋ว มันเหมือนเป็นศักดิ์ศรีที่ไม่มีวันยอมกันได้


ทุก ๆ ในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดซึ่งเป็นวันเจ็ดเซียนเราจะนัดเจอกัน เพื่อกินข้าว แต่เหตุผลหลักๆคือคุยกัน ไม่รู้ว่าพวกเราไปหาเรื่องอะไรมาคุยกันนัก พวกเราเป้นพวกพูดมากกันจริงๆ
เวลาเจอกันพวกเราก็กินข้าว...ซึ่งเสียเวลาในส่วนนี้ไปมาก มากกกกกกจริง ๆร้านโน้นคนนั้นไม่กิน ร้านนี่คนโน้นไม่เอาวุ่นวายมาก แต่มันก็เป็นความวุ่นวายที่พวกเรายอมรับกันได้
ล่าสุดที่พวกเราเจอกัน มันเป็นผลพวงมาจากน้ำถ่วม ทำให้ทุกคนมีโอกาสได้หยุดกลับบ้าน ไม่ใช่แค่เจ็ดเซียนแต่หกทับสามไปเดินสายหาอาจารย์ที่โรงเรียน

วันนั้นเป็นวันที่เราเกือบได้รวมตัวครบเจ็ดคนแต่เพราะเหตุการณ์บางอย่างทำให้ขาดไปคนหนึ่ง

พวกเรานัดเจอกันที่เซนทรัลชลบุรี พวกเราซื้อของเพื่อไปทำอาหารกินกันที่บ้านไอ้ช่อ พวกเราทำสุกี้กินกัน วันนั้นผักเยอะมากจริง ๆ เยอะมาก กะละมังใหญ่ แถมมาม๊าแคทยังอุตส่าทำแกงส้มชะอม แว๊นมอไซต์มาบ้านไอ้ช่ออีก
พวกเรากินกันไปเยอะมาก โดยเฉพาะผัก อยากจะบอกว่ามันเยอะจริง ๆ นะ แต่วันนั้นมีแขกของแม่ไอ้ช่อมาเป็นญาติมากินข้าวเย็นกัน แต่เรากับเขาก็ไม่ได้ยุ่งกัน แต่เขาก็แอบมาดุทีวีกับเรานะ

หลังจากที่พวกเราไม่ได้เจอกันมานานวันนั้นเรานอนกันตีอะไรไม่รู้เรานอนเตียงเดียวกันห้าคนเบียดมาก แต่มันเป็นมติกลุ่มที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ กว่าจะได้นอนไม่รู้เราคุยอะไรกันนัก เยอะแยะมากมายทาเล็บ และหัวข้อที่พวกเราคุยก็เปลี่ยนกันทุกๆสามนาทีได้มั้ง

คาถาเที่ยงธรรม อำนาจแห่งเทพ เจ็เซียนรวมตัว

คืนนั้นเราทำคุ๊กกี๊ไปฝากอาจารย์กัน มันทำเราได้พบอะไรหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเห็บหมาแห้ง หรือหมาข้าวโพด เป็นอะไรที่มันเจริญหูกันมาก
ท่านี้เหมาะกับน้ำมาก ๆ  

ม้า ช้าง ลา
ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่ไม่มีความสามารถอย่างพวกเราจะทำของอย่างนี้กันได้ 

คนข้างหลังเหมือนแบบว่า...น่ากลัวอ่ะ 

รูปนี่ตอนถ่ายกัน เอามาดูน่ากลัวมาก นันทวรรณถ้าเธอจะน่ากลัวขนาดนี่นะ


แม้ว่าขนมที่เราเอาไปให้อาจารย์จะโดนบอกว่า กรอบเป็นถ่าน แต่เราก้โอเคกับมัน ใครจะไปรู้ว่าพวกเราเอาเห็บหมาแห้งมาเป็นส่วนผสม
        ที่แรกเราจะนอนกันแค่คืนเดียวแต่ไหน ๆ ก้ไหน พวกเรานอนด้วยกันอีกคืน คืนนั้นทำให้เรารู้ว่า....ก่อนที่พวกเราจะมาเป็นเพื่อนกันนั้นเราเคยเป็นศัตรูแบบไม่ณุ้ตัวกันมาก่อน เราเค้ยเกียดกันแบบไม่มีเหตุผล ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมาเป็นเพื่อนกันได้เหลือเชื่อจริงๆ แต่ใช่ว่าทุกวันนี้เราจะไม่เกียดกันนะ...ล้อเล่น
        พวกเราเป็นเพื่อนที่ไม่จำเป็นต้องไปด้วยกันเสมอ ไม่ต้องเดินจำมือ กลับบ้านพร้อมกัน เราสามารถแยกกันได้ มีอยู่ครั้งหนึ้ง เคย้มีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาถามว่าทะเลาะกันหรอ ไม่เห็นคุยกัน ทั้งที่ไปเข้าห้องน้ำกับแค่สองคน ส่วนที่ไม่คุยก็วันนั้นมันไม่มีอะไรให้คุยนิ

สีผี


      กาลครั้งหนึ่ง เมื่อเซียนตือและเซียนโหย่ว ต้องการไปซื้อสี ณ ร้าน ว.พานิช ( ร้านขายอุปณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน )

      เธอทั้งสองก็เดินดูโน้นดูนี่ไปมา จนมาหยุดอยู่บริเวณที่เกี่ยวกับสีต่าง และด้วยกลัวว่าเซียนตือจะแย้งพูด

     เซียนโหยว "สีผี" ทั้ง ๆ ที่เธอเห็นนั้นมันคือสีไม้ต่างหาก

     ทุกวันนี้เพื่อนทุกคนเวลาที่อยู่กับเซียนโหย่วจะเรียกสีไม้ว่า"สีผี"

     นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า จะพูดอะไรก็ควรมีสติและคิดให้ดีก่อน ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะแย้งพูด เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องที่ติดตัวคุณไปตลอดชีวิตแน่นอน